อนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจัน

อนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจัน




อนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจัน ตั้งอยู่ในบริเวณอุทยาน ค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งอนุสาวรีย์แห่งนี้ เกิดขึ้นด้วยวีรกรรมอันกล้าหาญของชาวบ้านบางระจัน ที่ต่อสู้ทหารพม่า ก่อนที่จะเสียกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 2310  ขณะที่กรุงศรีอยุธยาถูกพม่าล้อมอยู่ใน พ.ศ. 2307 นั้น เนเมียว สีหบดี แม่ทัพพม่า ได้ส่งทหารออกไปปล้อนทรัพย์สินราษฎร และกวาดต้องผู้คน และหาหนทางทำลายกำลังข้าศึกอยู่ที่ "บ้านบางระจัน" ซึ่งเป็นทำเล ที่ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ ขณะเดียวกันชาวบ้านบางระจัน ก็ได้จัดเตรียมอาวุธ และฝึกกำลังไว้ต่อต้าน  โดยมีบุคคลสำคัญคือ พระอาจารย์ธรรมโชติ  ขันสรรค์  พันเรือง  นายทองเหม็น  นายจัน หนวดเขี้ยว  นายทอง แสงใหญ่  นายแทน  นายโชติ  และนายทองแก้ว ซึ่งรวบรวมกำลังคนได้ประมาณ 400 คนเศษ ช่วยกันสร้างบ้านบางระจัน ให้เป็นค่ายไว้ต่อสู้ข้าศึก  ฝ่ายพม่าที่อยู่เขตเมืองวิเศษไชยชาญ รู้ข่าวก็ส่งกำลังมาปราบปราม แต่ถูกชาวบ้านบางระจันต่อสู้จนทหารพม่าแตกพ่ายไป  ชัยชนะของชาวบ้านบางระจันครั้งนี้ แพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว  ราษฎรที่หลบซ่อนตัวอยู่ ต่างก็พากันเข้าเป็นสมัครพรรคพวก เป็นจำนวนมาก  จนแบ่งเป็นหมวดหมู่ได้อย่างกองทัพ แต่ก็ยังขาดอาวุธปืน 




บุคคลสำคัญชั้นหัวหน้า เช่น นายแท่น นายอิน และขุนสรรค์ ก็ถูกอาวุธข้าศึกสิ้นชีวิต ไปในขณะสู้รบ  ในที่สุด พม่าก็ตีค่ายบางระจันสำเร็จ ค่ายบางระจัน จึงเสียทีแก่ข้าศึกษ เมื่อวันแรม 2 ค่ำ เดือน 8 ปีจอ พ.ศ. 2309 รวมเวลา ที่ทำการต่อสู้กับพม่าทั้งสิ้น 5 เดือน  นับว่า ชาวบ้านบางระจัน ได้ร่วมกันประกอบวีรกรรมอันกล้าหาญ นับเป็นเยี่ยงอย่าง สมควรแก่การยกย่อง เทิดทูน และสร้างอนุสาวรีย์ไว้เป็นอนุสรณ์
     อนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจัน อยู่ในเขตอุทยานบางระจัน ทางด้านเหนือของวัดโพธิ์เก้าต้น  ตัวอนุสาวรีย์ ประดิษฐานอยู่บนเนินสูง มีบันไดทอดขึ้นไปยังแทนประดิษฐานอนุสาวรีย์ ซึ่งประดับด้วยหินอ่อนสีขาว ด้านหน้าจารึกไว้ว่า "พระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเดินทรงประกอบพิธีเปิด เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2519"  มีรายนามบุคคลชั้นหัวหน้าของค่ายบางระจัน รวม 11 ท่าน และเรื่องราววีรกรรมอันกล้าหาญของชาวบ้านบางระจันทั้งปวง  นอกจากนี้ ด้านหลังแท่นอนุสาวรีย์ยังมีรูปลายเส้นของหัวหน้าทั้งหลายนั้นอีก 2 รูป
     อนุสาวรีย์เป็นรูปปั้นวีรชนทั้ง 11 ท่าน และกระบือ 1 ตัว ซึ่งแต่ละท่านอยู่ในท่าถืออาวุธเตรียมพร้อม











  ต่อมาเนเมียว สีหบดี แม่ทัพพม่า ได้ส่งกำลังใหญ่ประมาณ 1,000 คน มาปราบปราม ชาวบ้านบางระจัน ได้จัดเตรียมการสู้รบแบบกองทัพเช่นกัน โดยให้นายแท่น แม่ทัพที่คุมพลอยู่กลาง 200 คน นายทองเหม็นคุมพล 200 คนอยู่ปีกขวา และพันเรือง คุมพล 200 คนอยู่ทางปีกซ้าย ได้ทำการต่อสู้รบกันจนกระทั่งพม่าถูกตีแตกพ่ายทัพกลับไป
     เนเมียวแม่ทัพพท่า ได้ส่งกองทัพมาอีกหลายครั้ง ก็ถูกตีแตกพ่ายไปทุกครั้ง ครั้งสุดท้าย พม่าใช้ให้สุกี้ชาวมอญ ซึ่งรู้ภูมิประเทศดี เป็นผู้นำกองทัพพม่าออกไปต่อสู้ กับชาวบ้านบางระจัน
     สุกี้ ได้นำกองทัพพม่ามาตั้งค่ายประจันหน้ากับค่ายบางระจัน ทั้งสองฝ่ายทำการสู้รบกันอย่างเข้มแข็ง ฝ่ายไทยขาดอาวุธปืน และขออาวุธปืนจากในเมืองหลวงไม่ได้ จึงทำการหล่อปืนใหญ่ขึ้นใช้เอง 2 กระบอก แต่ไม่ได้ผล ฝ่ายไทยจึงอ่อนกำลัีงลงเืรื่อย ๆ